วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2555

กาแฟราคาแพงที่สุด

กาแฟที่ราคาแพงที่สุด 

 โกปิ ลูวัก กาแฟราคาแพงที่สุดในโลก เมล็ดกาแฟราคากิโลกรัมละ ๔๑,๐๐๐ บาท  แหล่งผลิตกาแฟชนิดนี้อยู่บริเวณ ที่ราบเชิงเขาใกล้กับภูเขาไฟบนเกาะสุมาตรา เกาะชวา แลTเกาะสุลาเวสี ในประเทศอินโดนีเซีย  กว่าจะเก็บเมล็ดกาแฟพันธุ์นี้ได้แต่ละเมล็ด ถือว่าสาหัสสากรรจ์ทีเดียว เพราะต้องรอให้อีเห็นชนิดหนึ่งไปกินฝักอ่อนกาแฟ แล้วถ่ายเมล็ดกาแฟออกมาหลังผ่านการย่อยในกระเพาะและลำไส้แล้ว ชาวบ้านจะตามไปคุ้ยกองอึเอาเมล็ดกาแฟไปตากแดดแล้วนำมาคั่ว จนแห้ง ต้องทนเหม็นกันพอควรกว่าจะได้กาแฟโกปิ ลูวัก ที่แปลว่า กาแฟอีเห็น ความไม่สงบทางการเมือง การก่อการร้าย และสงครามแบ่งแยกดินแดนกับชนเผ่าอาเจ็กทางตอนเหนือของเกาะสุมาตรา เป็นปัจจัยที่ทำให้การตามหา "ฟักทอง" ของอีเห็น ยากลำบากยิ่งขึ้น  แต่ละปีผลิตได้ไม่ถึง ๒๓๐ กิโลกรัม ที่ผ่านมาจึงมีผู้พยายามเลียนแบบรสชาติกาแฟชนิดนี้
           แมสสิโม มาร์โคเน นักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยออนแทรีโอ ประเทศแคนาดา ใช้เวลาสืบเสาะอยู่นานกว่าจะพบว่า ในป่าแห่งหนึ่งของประเทศเอธิโอเปีย มีอีเห็นป้วนเปี้ยนอยู่แถวไร่กาแฟ   "หาสถานที่แบบนี้มานานแล้ว นี่เป็นดินแดนในฝันทีเดียว"  มาร์โคเนเล่าว่าเขาทดลองเอาเมล็ดกาแฟจากขี้อีเห็นมาตากแห้ง คั่ว แล้วต้มเพื่อชิมเปรียบเทียบว่ารสชาติกาแฟอีเห็นจากแอฟริกากับกาแฟอีเห็นจากอินโดนีเซีย อย่างไหนจะหอมกรุ่นกว่ากัน ถึงตอนนี้มาร์โคเนได้พบความลับว่า ระบบการย่อยอาหารของอีเห็นทั้งสองชนิด ทำให้โปรตีนในเมล็ดกาแฟแตกตัวเป็นโมเลกุลขนาดเล็ก เวลานำเมล็ดกาแฟชนิดนี้ไปคั่วบดจะมีกลิ่นหอมเป็นพิเศษ และขณะที่ย่อย โปรตีนบางชนิดจะถูกสกัดออกจากเมล็ดกาแฟจนหมด เมื่อคั่วแล้ว กาแฟจะมีรสชาติขมน้อยลงนิดหนึ่ง อย่างไรก็ตาม มาร์โคเนยอมรับว่า แม้เขาจะรู้เคล็ดลับความอร่อยของกาแฟอีเห็น แต่ก็ไม่อาจลอกเลียนกาแฟโกปิ ลูวัก ได้ เพราะกระเพาะอีเห็นอินโดนีเซียนั้นย่อยโปรตีนได้มากกว่าของอีเห็นแอฟริกา  

  รสชาติกาแฟจากอึของอีเห็นในอินโดฯ จึงหอมกรุ่นกว่าวันยังค่ำ มาร์โคเนกล่าวยอมรับ แต่เขาก็ได้ค้นพบว่า กระบวนการย่อยอาหารที่ต้องผ่านแบคทีเรียและเอนไซม์ในท้องของอีเห็น เป็นกรรมวิธีเดียวกับการหมักกาแฟแบบหนึ่งที่เรียกว่า หมักเปียก และยังใช้แบคทีเรียชนิดเดียวกันด้วย คือ แบคทีเรียแล็กติกเอซิด มาร์โคเนมั่นใจว่าการหมักกาแฟเปียกน่าจะให้ผลใกล้เคียงกับกาแฟที่ผ่านการย่อยในท้องของอีเห็น  แต่สิ่งที่ตามมาก็คือ  "หากคุณพัฒนาสูตรกาแฟเลียนแบบกาแฟอีเห็นได้สำเร็จ เราอาจจะสูญเสียกาแฟที่หายากและแพงที่สุดในโลกแบบกาแฟโกปิ ลูวัก ไปก็ได้ 

วันจันทร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ขั้นตอนการปลูกกาแฟ


                     ขั้นตอนการปลูกกาแฟ

ขั้นตอนที่ 1 การเตรียมพื้นที่
พื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับปลูกกาแฟควรเป็นที่ๆมีความสูง ประมาณ 800-12,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล ความลาดชันไม่เกิน 50% ทำการกำจัดวัชพืชโดยการถางให้โล่ง เตรียมทำแนวระดับ การเตรียมพื้นที่ส่วนมากเริ่มทำ ในช่วงฤดูแล้ง เพื่อให้พร้อมสำหรับปลูกกาแฟในฤดูฝนที่จะมาถึง (ประมาณมิถุนายน-กรกฎาคม)ทำแนวระดับโดยใช้อุปการณ์ช่วยเช่นไม้รูปตัวเอเขาควายหรือระดับน้ำ ทำแนวปลูกกาแฟโดยมีระยะระหว่างต้น  2 เมตร ระยะห่างระหว่างแถวขึ้นอยู่กับความลาดชัน โดยเฉลี่ยประมาณ 1.5-2 เมตร ขุดหลุมปลูกกาแฟขนาด  0.5x0.5x0.5เมตร(หรือ 1 X 1 X 1 ศอก) แยกหน้าดินกับดินก้นหลุมออกจากกัน หน้าดินจะใช้ผสมใส่ลงที่ก้นหลุม  ขุดหลุมปลูกกาแฟขนาด0.5x0.5x0.5เมตร (หรือ 1 X 1 X 1 ศอก) แยกหน้าดินกับดินก้นหลุมออกจากกัน หน้าดินจะใช้ผสมใส่ลงที่ก้นหลุม
  ขั้นตอนที่ 2 การปลูก
นำต้นกล้าที่มีขนาดเหมาะสมความสูงประมาณ 45-50 ซม. มีใบ 6-8 คู่ สมบูรณ์แข็งแรง ผ่านการฝึกให้ทนทานต่อแสงแดดจัดและการขาดน้ำในเบื้องต้น แล้วนำต้นกล้าลงปลูกในหลุมที่เตรียมไว้ กลบดินให้แน่นใช้ไม้ปักกันลมโยกคลอน


วันจันทร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ความเป็นมากาแฟในประเทศไทย


ความเป็นมาของกาแฟในประเทศไทย




  ในศตวรรษที่ 17  และ18 เป็นปีที่กาแฟได้เข้ามาแพร่หลาย ในประเทศเขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอินเดียตะวันตกเป็นครั้งแรก  อุตสาหกรรมกาแฟใน ประเทศไทยนั้นจะว่าไปแล้วยังถือว่าใหม่อยู่มากตามสถิติของทางราชการ เนื้อที่แปลงเพาะปลูก กาแฟทั้งหมดภายในปี 1960 มีเพียงแค่ 19000 ไร่ (หรือประมาณ 7,600 เอเคอร์) และ ผลิตกาแฟได้เพียง 750 ตัน แต่ภายในปีเดียวกันนั้นเองประเทศไทยต้องนำเข้าผลิตภัณฑ์พืชผล กาแฟเกือบจะ 6,000 ตันเพื่อเป็นการปรับดุลย์การค้ารัฐบาลไทยได้ตั้งโครงการรณรงค์ และสนับสนุนกาแฟโรบัสตาที่ปลูกได้ทางภาคใต้ซึ่งได้รับความสำเร็จ
  โดยประเทศไทยเป็นชาติ ที่มีกาแฟเป็นสินค้าออกอย่างเป็นทางการในปี 1976  เราส่งกาแฟโรบัสต้ากว่า 850 ตันออกขายในตลาดโลก ในช่วงปี 1980 ราคาในตลาดโลกมีความแข็งแกร่ง จึงช่วยให้การส่งออกมีการเติบโตไปในทิศทางที่ดีในปีต่อมาและถึงจุดสูงสุดในช่วง ปี 1991-1992 




coffee

coffee กาแฟ


กาแฟ เป็นคำ ที่มาจากคำว่า "เกาะหฺวะหฺ" ในภาษาอาหรับ  ซึ่งสันนิษฐานว่าเพี้ยนมาจากแคว้นคัฟฟาของเอธิโอเปีย ซึ่งมีการเพาะปลูกกาแฟ หรือไม่ก็มาจากคำว่า qahwat al-būnn ซึ่งหมายถึง "ไวน์แห่งถั่ว" ในภาษาอารบิก แล้วเพี้ยนเป็น กาห์เวห์ ในภาษาตุรกี ก่อนที่จะเป็น caffè ในภาษาอิตาเลียน และเป็น คอฟฟี (Coffee) ในภาษาอังกฤษ ซึ่งได้มีการใช้ครั้งแรกในช่วงต้นถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 16  หลังจากนั้นก็เป็นคำว่า กาแฟ ในภาษาไทย
กาแฟเป็นไม้พุ่มยืนต้น ขนาดปานกลางสูงประมาณ 3-4 เมตร ใบสีเขียวแตกออกจากข้อเป็นคู่ๆ ดอกออกตามข้อของกิ่งมีสีขาวบริสุทธิ์ กลิ่นหอมต้นกาแฟในประเทศไทยเริ่มออกดอกในเดือนตุลาคม กุมภาพันธ์  ระยะเวลาตั้งแต่การออกดอกถึงการเก็บเกี่ยวใช้เวลาประมาณ 8-12 เดือน หลังจากปลูกกาแฟได้ 2-3 ปี กาแฟจะเริ่มออกดอกและติดผล ผลของกาแฟเรียกว่า “Coffee Cherry” มีลักษณะค่อนข้างกลม ขณะที่ผลยังอ่อนมีสีเขียว และเมื่อผลแก่จัดจะมีสีแดง ในแต่ละข้อของกิ่งกาแฟติดผลประมาณ 10-60 ผล แต่ละผลมีเมล็ดกาแฟอยู่ 2 เมล็ด

สายพันธุ์กาแฟ

สายพันธุ์และลักษณะของเมล็ดกาแฟ



      ในโลกนี้กาแฟมีหลากพันธุ์ หลายชนิด ที่ถูกค้นพบ แต่ที่นิยมปลูกและมีขายกันโดยทั่วไปมีอยู่ 2 พันธุ์คือ อราบิก้า และ โรบัสต้า ซึ่งกาแฟสองชนิดนี้มีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน

อราบิก้า เป็นสายพันธุ์ที่นิยมปลูกและบริโภคกันมากที่สุดในโลก มีปริมาณการผลิตถึง 80 เปอร์เซ็นต์ในตลาดกาแฟโลก แต่จะมีจำนวนเพียง 1 ใน 8 เท่า นั้นที่เป็นกาแฟที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐานและเป็นที่นิยม กาแฟชนิดนี้ให้ผลผลิตที่มีคุณภาพและปริมาณสารกาแฟชั้นดี มีกลิ่นและรสชาติดีที่สุด
เมล็ดพันธุ์อราบิก้านี้จะมีรูปทรงค่อนข้างเรียวผอม รอยผ่าไส้กลางมีลักษณะคล้ายตัว S เมื่อ ผ่านกระบวนการผลิตแล้วกาแฟพันธุ์นี้จะมีกลิ่นหอมหวานอบอวล ซับซ้อน คล้ายกลิ่นช็อกโกแลต และดอกไม้ รสชาตินุ่มละมุน มีปริมาณคาเฟอีนประมาณ 1.1 – 1.7 เปอร์เซ็นต์ หรือประมาณครึ่งหนึ่งของพันธุ์โรบัสต้าในปริมาณเท่ากัสำหรับในประเทศไทย บนเขาสูงในจังหวัดทางภาคเหนือ เช่น เชียงใหม่ เชียงราย ตาก ลำปาง จึงเป็นแหล่งที่ดีในการปลูกกาแฟพันธุ์อราบิก้า
           
           โรบัสต้า เป็น กาแฟพันธุ์ที่ต้องการความชุ่มชื้นสูง ปลูกง่าย ให้ปริมาณผลผลิตมาก นิยมปลูกกันมากในทวีปอาฟริกาและเอเชีย สามารถปลูกในพื้นที่ที่มีระดับความสูงตั้งแต่ 500 – 600 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล สำหรับประเทศไทยนิยมปลูกกันทางภาคใต้ เช่น ที่จังหวัด ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช
เมล็ด พันธุ์ของโรบัสต้าจะอวบอ้วน ด้านหลังมีลักษณะนูนเป็นหลังเต่า รอยผ่าไส้กลางเมล็ดจะเป็นเส้นค่อนข้างตรง กาแฟสายพันธุ์นี้ กลิ่นไม่หอมหวานอบอวล ไม่ซับซ้อน รสชาติฝาดกว่าพันธุ์อราบิก้า และมีปริมาณคาเฟอีนสูงกว่า 1 – 2 เท่าตัว หรือประมาณ 2 – 4.5 เปอร์เซ็นต์   ถึง แม้ว่าจะให้รสชาติด้อยกว่า มีรสฝาดมากกว่า แต่บอดี้ของกาแฟพันธุ์นี้จะมีมากกว่า สามารถรับรู้ได้เวลาดื่ม ส่วนใหญ่จะนำมาผลิตเป็นกาแฟสำเร็จรูป หรือนำมาผสมกับกาแฟพันธุ์อราบิก้า เพื่อให้ได้รสชาติที่แตกต่างออกไป

นอกจากนี้ ยังมีพันธุ์กาแฟที่อาจพบได้อีก 2 สายพันธุ์ คือ ลิเบอริก้า (Liberica) และเอ็กซ์เซลซ่า (Excelsa) แต่กาแฟทั้ง 2 สายพันธุ์นี้ไม่เป็นที่นิยมในการค้า เนื่องจากรสชาติไม่ค่อยดีนัก

ความเป็นมาของกาแฟ

ความเป็นมาของกาแฟ



         
       ต้นกำเนิด กาแฟเริ่มต้นที่แถบเทือกเขาในแอฟริกา ชนพื้นเมืองบดกาแฟทั้งผล ผสมกับไขมันจากสัตว์ ใช้สำหรับเพิ่มพลังให้นักรบ ซึ่งความเป็นมาของการค้นพบกาแฟ มีตำนาน หนึ่งเล่าขานกันว่า คนเลี้ยงแพะสังเกตเห็นว่าแพะของเขากระโดดโลดเต้นไปมาเมื่อได้กินผลไม้ชนิด หนึ่งคล้ายผลเชอรี่ของต้นกาแฟป่า ด้วยความอยากรู้เขาจึงชิมผลไม้นั้นด้วยตัวเอง และต้องประหลาดใจกับความสดชื่นมีชีวิตชีวาที่เขาได้รับ เหล่านักบวชที่เดินผ่านมาในบริเวณนั้นเห็นเขากระโดดโลดเต้น และเต้นรำไปมากับฝูงแกะ นักบวชเหล่านั้นจึงเริ่มนำเมล็ดพืชนั้นมาต้ม และนำมาดื่มเพื่อไม่ให้ง่วงในระหว่างพิธีกรรมยามค่ำคืน  การเพาะปลูกกาแฟ เริ่มต้นในศตวรรษที่ 15 หลายศตวรรษที่ผ่านมาเยเมนซึ่งเป็นพื้นที่หนึ่งในแถบอราเบียเป็นเพียงแหล่งปลูกกาแฟเพียงแหล่งเดียวในโลก ความต้องการของตลาดมีสูงมาก เมล็ดกาแฟที่ออกจากท่าเรือเยเมนนั้นถูกตรวจสอบอย่างเข้มงวด และมีกฎห้ามมิให้ต้นไม้ใดที่สามารถผลิดอกออกผลได้ส่งออกนอกประเทศแต่ถึงแม้จะมีกฎเข้มงวด ชาวมุสลิมผู้ออกไปแสวงบุญที่เมกกะได้ลักลอบนำต้นกาแฟกลับไปที่ถิ่นกำเนิดของ ตน และนั่นก็เป็นต้นกำเนิดของการเจริญเติบโตของกาแฟในประเทศอินเดีย กาแฟ ยังขยายไปสู่ยุโรป ไปยังเมืองเวนิส ซึ่งเป็นเมืองท่าในการค้าขายน้ำหอม ชา สีย้อม และผ้า โดยพ่อค้าชาวอราเบีย พ่อค้าชาวยุโรปเริ่มคุ้นเคยกับการดื่มกาแฟที่มาจากต่างเมือง และนำกลับไปที่บ้านของตน เมื่อเริ่มมีผู้จำหน่ายกาแฟตามถนนหนทางต่าง ๆ เครื่องดื่มนี้ก็ได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้น

วิวัฒนาการของกาแฟ


วิวัฒนาการของกาแฟ




           วิวัฒนาการของกาแฟ นับจากอดีตที่มนุษย์รู้จักนำกาแฟจากป่ามาบริโภค ซึ่งแรกๆมนุษย์น่าจะนำกาแฟมาบริโภคในทางยามากกว่า สมัยดึกดำบบรรพ์มนุษย์อยู่กับป่าเขามาตลอด จึงรู้ถึงคุณค่าของต้นไม้ใบไม้แต่ละชนิดดี รวมทั้งนำต้นไม้เหล่านี้มาใช้ ในทางยา ซึ่งอาจจะใช้ใบ ผล หรือราก กิ่งก้านต่างๆ ซึ่งทุกส่วนมีประโยชน์ทั้งสิ้น แต่สำหรับกาแฟ ซึ่งเป็นพืชป่ามาก่อน  เชื่อกันว่าแรกๆนำมาใช้บำบัดการเจ็บป่วย ช่วยลดอาการเจ็บลงได้ รวมถึงการนำกาแฟไปใช้ในการห้ามเลือดและอื่นๆ หลังจากที่ความเจริญเข้ามาครอบงำมนุษย์ กาแฟก็ได้เวลานำมาปลูกเป็นกิจลักษณะตามความนิยมจนกลายมาเป็นพืช  เศรษฐกิจของโลกไปแล้ว ในแต่ละปีคนทั้งโลกบริโภคกาแฟหลายแสนตัน การปลูกกาแฟก็เริ่มนำความรู้ทาง
  วิทยาศาสตร์มาพัฒนาให้ได้กาแฟที่ให้ผลผลิตและคุณภาพสูง การคัดเลือกพื้นที่ที่เหมาะสม การคัดเลือกสายพันธุ์ ของกาแฟ สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เกี่ยวของกับคุณภาพของกาแฟทั้งสิ้น กาแฟถูกนำไปทำเป็นผลิตภัณฑ์หลากหลายชนิดแต่ส่วนมากจะอยู่ในรูปของเครื่องดื่ม ซึ่งมีส่วนผสมของกาแฟมากบ้างน้อยบ้างตามความต้องการของผู้ผลิต 
สมัยก่อนจะมีร้านขายกาแฟโดยเฉพาะ ซึ่งร้านกาแฟเหล่านี้จะเป็นแหล่งรวมผู้คนที่นิยมในรสชาดของกาแฟ โดยเฉพาะหรือไม่ก็เป็นที่พบปะหรือเสวนากันโดยมีกาแฟเป็นสื่อกลาง จากอดีตจนถึงปัจจุบันความนิยมในกาแฟ ก็ไม่มีทีท่าว่าจะลดลง แต่ในทางตรงกันข้ามความนิยมในกาแฟกลับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้โลกจะเปลี่ยนไปจากอดีตก็ตาม  แต่กาแฟก็ไม่ได้เปลี่ยนตาม เพียงแต่กาแฟพัฒนาการตามการดื่มและวิธีการดื่มของผู้คนเท่านั้น จากเมื่อก่อนถ้าจะดื่มกาแฟก็ต้องบดกันแบบสดๆเลย คั่วแบบสดๆ ทุกขั้นตอนทำในขณะนั้นเลย แต่ปัจจุบันได้มีการเปลี่ยนรูปแบบไป กาแฟได้ถูกแปรรูป แบบไปเป็นรูปแบบต่างๆ เช่น กาแฟสำเร็จรูป กาแฟพร้อมดื่มบรรจุกล่อง กาแฟผง กาแฟผสม กาแฟร้อน กาแฟเย็น กาแฟรสต่างๆ เป็นต้น ซึ่งเป็นการประยุกต์กาแฟให้เข้ากับยุคสมัยโลกเจริญการนำกาแฟไปเป็น ส่วนผสมของอาหารบางชนิดหรือผลิตภัณฑ์บางชนิด กานำกาแฟไปเป็นส่วนผสมในเครื่องดื่มประเภทชูกำลัง ซึ่งกำลังได้รับความนิยมสูง กาแฟยังสามารถพัฒนาการไปได้อีกมากมาย ดังนั้นเราจะเห็นว่าเส้นทางเดินของกาแฟจากอดีตถึงปัจจุบันเปลี่ยนไปมาก มีการนำกาแฟมาสร้างประโยชน์ได้หลากหลายอย่าง กาแฟสร้างทั้งเงินมหาศาลและ งานให้กับมนุษย์ สร้างความพึงพอใจ สร้างสังคมสัมพันธภาพอันดีให้กับมนุษย์ชาติ จะเห็นว่าไม่มีแม้แต่วันเดียวเลยที่มนุษย์ไม่บริโภคกาแฟ ซึ่งไม่ทางตรงคือการดื่มกาแฟทั่วๆไป หรือไม่ก็ทางอ้อมซึ่งมีกาแฟเป็นส่วนผสมอยู่ ดังนั้นจะเห็นว่าเราสัมผัสกาแฟอยู่ตลอดเวลาของการดำรงชีวิตไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ถึงแม้บางท่านจะไม่ชอบกาแฟ แต่สักวันก็ต้องได้บริโภคกาแฟโดยไม่รู้ตัว เหตุเพราะกาแฟเข้าไปเป็นส่วนผสมอยู่ในหลากหลายผลิตภัณฑ์ดังกล่าว จะเห็นว่ากาแฟให้ประโยชน์อย่างมหาศาลกับมนุษย์นอกจากประโยชน์และรสชาดที่มีอยู่ในตัว ยังสร้างงาน สร้างเงิน และอื่นๆอีกมากมายหลายอย่าง

บทบาทของกาแฟในประเทศไทย


บทบาทของกาแฟในประเทศไทย




 ประเทศไทยมีศักยภาพมากพอที่จะเสริมจุดยืนของตนเองให้เข้มแข็งในตลาดกาแฟโลก ผลจากการทดลองใน สถานีวิจัยทางภาคเหนือและภาคใต้ของประเทศไทยพบว่าเมล็ดกาแฟพันธุ์อาราบิก้า และโรบัสต้าคุณภาพสูงสามารถเพาะปลูกได้อย่างดี  ดังนั้นกาแฟจึงเป็นพืชที่ได้รับความนิยมในไทยและต่างประเทศ จึงถูกยกให้เป็นพืชเศรษฐกิจอันดับต้นๆ ที่สร้างรายได้ให้กับมนุษย์แบบไม่มีที่สิ้นสุดและไม่มีวันหมด และนับวันจะสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆตามสมัยนิยมของคนรุ่นใหม่ ที่มีการนำกาแฟไปประยุกต์เป็น รูปแบบต่างๆออกไป เพื่อพัฒนาการให้สอดคล้องกับยุคสมัยใหม่ ความนิยมในกาแฟนับวันมีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจากอดีตสู่ปัจจุบัน ยกตัวอย่างเครื่องดื่มที่ใช้กาแฟเป็นวัตถุดิบประกอบ เช่น โอเลี้ยง - เครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมมายาวนาน เมื่อพูดถึง"กาแฟไทย" แล้วคนส่วนใหญ่มักจะนึกถึงโอเลี้ยง..ดำๆนี้เกือบจะกลายเป็นสัญลักษณ์ของกาแฟไทยไปแล้วแต่ในความจริงนั้นความหมายของคำว่า โอเลี้ยงบ่งบอกถึงความเป็นเครื่องดื่มชนิดหวานมากกว่าเครื่องดื่ม ประเภทกาแฟ ซึ่งตรงกันข้ามกับความเชื่อของคนทั้งหลายโดยสิ้นเชิง ปกติแล้วโอเลี้ยงมีส่วนผสมของกาแฟไม่ถึง 25% และส่วนผสมส่วนใหญ่คือน้ำตาล
(ประมาณ 40-50%)

การบริโภคกาแฟ


การบริโภคกาแฟ


              แม้ว่าการดื่มกาแฟจะเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น อัตราการบริโภคกาแฟในประเทศไทยยังคงอยู่ในระดับต่ำมาก กล่าวคือ ที่น้อยกว่าครึ่งกิโลกรัมต่อคนต่อปี (ในขณะที่ประเทศฟินแลนด์อัตราโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 14 กิโลกรัม เยอรมันนี 8 กิโลกรัม อิตาลี 5 กิโลกรัม สหรัฐอเมริกา 4.5 กิโลกรัม และญี่ปุ่น 2.5 กิโลกรัม) การคาดคะเนอัตราการเติบโต ของการบริโภคเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกาแฟอยู่ระหว่าง 20-30% ต่อปี ผู้บริโภคนิยมดื่มกาแฟร้อนจากกาแฟสำเร็จ ไปและนิยมดื่มแบบเย็นจากกระป๋องส่วนกาแฟที่ชงจากเครื่องชงกาแฟ ส่วนใหญ่จะอยู่ตามโรงแรม ภัตตาคาร ผับ สโมสร และร้านขายอาหาร

ประเภทของกาแฟ


ประเภทของกาแฟ

เอสเพรสโซ่ อเมริกาโน่ ลาเต้ มอคค่า คาปูชิโน่... เคยสงสัยไหมว่าชื่อกาแฟภาษาอิตาเลี่ยนที่เราเห็นกันอยู่จนชินตาตามร้านกาแฟต่างๆ นั้น แท้จริงแล้วในกาแฟแต่ละประเภท เขาใส่อะไรลงไปบ้าง หรือความแตกต่างของกาแฟแต่ละสูตรเป็นอย่างไร
เอสเพรสโซ่  คือ  กาแฟที่เตรียมด้วยเครื่องพิเศษที่อัดเมล็ดกาแฟบดละเอียดและขับผ่านออกมาในรูปแบบไอน้ำด้วยความดันสูงประมาณ 18-25 นาที เอสเพรสโซ่หนึ่งช็อตจะมีปริมาณ 1-2 ออนซ์ ผิวหน้าจะเป็นฟองครีมสีทอง ควรรีบดื่มหลังจากชงเสร็จใหม่ๆ เพื่อสัมผัสรสชาติความเข้มข้นที่แท้จริง

ลาเต้ คือ ส่วนผสมของเอสเพรสโซ่ 1/3 ส่วน นมร้อนผ่านไอน้ำ 2/3 ส่วน แล้วรินฟองนมทับด้านบนอีกที ซึ่งเสน่ห์ของกาแฟชนิดนี้อยู่ที่ศิลปะการรินนมและฟองนมเป็นรูปร่างต่างๆ หรือที่เรียกว่า ลาเต้อาร์ต นั่นเอง
คาปูชิโน่ มีส่วนประกอบหลักเช่นเดียวกับลาเต้ แต่ในสัดส่วนตกต่างกันอยู่ที่ เอสเพรสโซ่ 1/3 ส่วน นมร้อน 1/3 ส่วน และฟองนมอีก 1/3 ส่วน อาจโรยด้านบนด้วยผงโกโก้หรือผงชินนามอนตามชอบ ชาวอิตาเลี่ยนนิยมทานกับคุกกี้หรือบิสกิตเล็กๆ
มอคค่า เป็นกาแฟที่คล้ายกับลาเต้โดยใส่สัดส่วนเอสเพรสโซ่และนมร้อนที่เท่ากัน แต่จะเพิ่มส่วนผสมของช็อคโกแลตเข้าไปโดยมักใส่ในรูปแบบน้ำเชื่อมช็อคโกแล็ต แล้วท้อปปิ้งด้วยวิปครีม หรือ อาจหมายถึงกาแฟที่ชงด้วยเมล็ดกาแฟอาราบิก้าชนิดพิเศษที่จะปลูกที่ท่าเรือมอคค่า ประเทศเยเมน โดยกาแฟชนิดนี้จะมีกลิ่นและรสคล้ายคลึงกับช็อคโกแล็ตแม้จะไม่มีส่วนผสมของช็อคโกแล็ต

อเมริกาโน่ คือ กาแฟที่ชองโดยการผสมน้ำร้อนลงไปในเอสเพรสโซ่ คอกาแฟส่วนใหญ่จึงนิยมดื่มอเมริกาโน่โดยไม่ปรุงด้วยนมหรือน้ำตาล เพื่อดื่มด่ำกับความเข้มข้นของกลิ่นและรสของกาแฟชนิดนี้ที่แตกต่างจากกาแฟธรรมดา

5 วิธีการชงกาแฟ ยอดฮิตระดับโลก


5 วิธี การชงกาแฟ ยอดฮิตระดับโลก

การชงกาแฟนั้น มีด้วยกันมากมายหลายวิธีด้วยกันครับ ทั้งจากที่เราทำเองที่บ้านหรือตามร้านกาแฟต่างๆก็มีวิธีการชงกาแฟที่หลายหลากรูปแบบ เช่น ร้านกาแฟสดก็จะมีการชงกาแฟแบบหนึ่ง ร้านกาแฟโบราณก็มีการชงกาแฟโบราณอีกแบบหนึ่ง  สำหรับ 5 วิธี การชงกาแฟ ที่ยอดฮิตและใช้กันอย่างแพร่หลาย 

1. วิธีการชงกาแฟแบบ Drip : เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายของผู้บริโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ชอบชงกาแฟดื่มเองที่บ้าน    จะทำโดยการใช้น้ำร้อนหรือหยดน้ำร้อนผ่านกาแฟบด จากนั้นให้ของเหลวผ่านกระดาษกรอกหรือ filter สำหรับที่ใช้ชงกาแฟแบบ drip ลงไปยังภาชนะรองรับ ซึ่งเมื่อผ่าน filter อาจจะมีการเสียรสชาติไปบ้างแต่ไม่มาก ซึ่งถือว่าเป็นวิธีที่ง่ายเหมาะสำหรับทำที่บ้านได้ด้วยตัวเองครับ สามารถใช้ได้กับการชงกาแฟในปริมาณมากกว่า 1 แก้วได้อย่างสบาย โดยจะมีเครื่องต้มกาแฟ ชื่อ drip maker หรือ coffee machine ที่หาซื้อได้ง่ายๆ


2. วิธีการชงกาแฟแบบ French Press : ไม่ยุ่งยากทำให้ได้รสชาติของกาแฟที่แท้จริงแต่ไม่ต้องกังวลกับเศษหรือกากกาแฟที่หลุดลอดออกมานะครับเพราะนั่น คือเสน่ห์ของวิธี
 ขั้นที่ 1 : เราต้องมีกาแฟบดก่อนซึ่งต้องใช้กาแฟบดที่หยาบหน่อยนะครับเพราะว่าถ้าเราบดละเอียดยิบเลย ผงกาแฟจะหลุดลอดตะแกรงของเครื่องชงได้
ขั้นที่ 2 : เติมผงกาแฟบดลงไปในเครื่องชง ใช้กาแฟประมาณ 7 กรัม                     
ขั้นที่ 3 : เติมน้ำร้อนลงไปประมาณ 1/3 ของแก้วรอให้กาแฟซึมน้ำซัก 30-40 วินาที จากนั้นเติมน้ำร้อนเข้าไปจนเต็ม 
ขั้นที่ 4 : เอาฝามาปิด อย่าลืมนะครับก่อนปิดฝาให้ดึงตะแกรงขึ้นจนสุดก่อน ปิดฝาทิ้งไว้ประมาณ 4 นาที          
ขั้นที่ 5 : กดตะแกรงลงมาเพื่อดันเศษกาแฟลงไปข้างล่างจากนั้นก็รินใส่ถ้วยดื่มได้ทันทีเลยครับ

3. Espresso : ชื่อพันธุ์กาแฟ หรือไม่ก็สูตรกาแฟดำที่ชื่อ เอสเปรสโซ่ จริงๆแล้ว Espresso ชื่อนี้เป็นวิธีการชงกาแฟ มาจากภาษาละตินที่แปลว่า ดัน หรือ กด และกาแฟที่ได้จากเครื่องนี้ก็จะเรียกว่า กาแฟเอสเปรสโซ่” 


                             


4.Chemex คือ กรวยชงกาแฟชนิดหนึ่ง โดยลักษณะคล้ายๆกับการ Drip ที่ใช้น้ำร้อนเทใส่ผงกาแฟและผ่านกระดาษกรองลงไป แต่วิธีการนี้เป็นศิลปะอย่างหนึ่งที่ทุกขั้นตอนจะทำด้วยมือตั้งแต่การบดจะไปถึงการเทน้ำร้อนใส่ผงกาแฟ ไม่ค่อยแพร่หลายเท่าไหร่
          

5.Cupping : วิธีการนี้ใช้สำหรับนักชิมกาแฟ หรือ Master Taster โดยก่อนที่ผู้ผลิตกาแฟจะส่งขายไปยังผู้บริโภคจะต้องมีการชิมกาแฟก่อน ซึ่งผู้ชิมกาแฟก็จะชงกาแฟด้วยวิธี Cupping คือ บดกาแฟที่ต้องการชิมรสชาติ เช่น กาแฟ 1 ชนิดก็จะคั่ว 3 ระดับคือ อ่อน กลาง และ เข้ม จากนั้นก็เอามาบดแล้วใส่ผงกาแฟลงในถ้วยแก้ว 3 ถ้วยจากนั้นก็เติมน้ำร้อนลงไปครับ พอถึงขั้นตอนการชิม เค้าก็จะเอาช้อนปาดหรือตักผงกาแฟที่ลอยอยู่ออกแล้วก็เริ่มทำการชิมกาแฟได้


     












ประโยชน์และโทษของการดื่มกาแฟ


ประโยชน์และโทษของกาแฟ



ถ้าพูดถึงกาแฟ คงไม่มีใครไม่รู้จัก แต่ประโยชน์และโทษของกาแฟนั้นก็มีมาก ซึ่งผู้ดื่มก็อาจจะยังไม่ทราบ ยกตัวอย่าง เช่น
ประโยชน์ของกาแฟ
 1. กาแฟมีคาเฟอิน ซึ่งสามารถกระตุ้นประสาทส่วนกลางและกล้ามเนื้อ ทำให้ผู้ดื่มรู้สึกสมองสดชื่น ตื่นเต้น และช่วยแก้ความอ่อนเพลียของกล้ามเนื้อ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้สูงขึ้น
2. กาแฟเป็นผลดีต่อผิวพรรณ เพราะว่ากาแฟสามารถทำให้เลือดไหลเวียนได้คล่อง ช่วยให้อวัยวะย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น ช่วยแก้ปัญหาท้องผูก และเวลาอาบน้ำ ผสมผงกาแฟลงไปด้วย จะมีบทบาทช่วยลดไขมัน
3. กาแฟช่วยแก้เมา เพราะคาเฟอินจะไปเสริมสมรรถนะของตับและไต หลังดื่มเหล้าแล้ว จะช่วยละลายแอลกอฮอร์ให้เป็นน้ำและไคบอนไดออกไซต์ ขับออกจากร่างกาย

โทษของการดื่มกาแฟ
1. ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น ผลการวิจัยปรากฎว่า ดื่มกาแฟแก้วหนึ่งแล้ว ความดันโลหิตจะสูงขึ้นนานถึง 12 ชั่วโมง ดังนั้น กลุ่มคนที่เป็นความดันโลหิตสูง ไม่ควรดื่มกาแฟขณะรู้สึกเครียด หรือมีแรงกดดันมากจากการทำงาน
2. กาแฟจะทำให้กระดูกพรุน เนื่องจากคาเฟอินมีคุณประโยชน์ทำให้ขับปัสสาวะมากขึ้น ถ้าดื่มกาแฟเป็นเวลานาน จะทำให้สูญเสีแคลเซียมยไปกับปัสสาวะมาก จนกระดูกพรุน โดยเฉพาะสำหรับผู้หญิงหลังวัยทอง ไม่ควรดื่มกาแฟมากเกินควร
3. หญิงตั้งครรภ์ถ้าดื่มกาแฟมาก จะทำให้ทารกที่อยู่ในครรภ์เติบโตไม่เป็นปกติ หรืออาจแท้งได้
4. กาแฟจะทำลายวิตามิน B1 ซึ่งเป็นวิตามินที่รักษาความสมดุลและความมั่นคงของระบบประสาท ดังนั้น ผู้ที่ขาดวิตามิน B1 ไม่ควรดื่มกาแฟ

   ถ้าพูดถึงกาแฟ คงไม่มีใครไม่รู้จัก แต่ประโยชน์และโทษของกาแฟนั้นก็มีมาก ซึ่งผู้ดื่มก็อาจจะยังไม่ทราบ ยกตัวอย่าง เช่น

ประโยชน์ของกาแฟ
 1. กาแฟมีคาเฟอิน ซึ่งสามารถกระตุ้นประสาทส่วนกลางและกล้ามเนื้อ ทำให้ผู้ดื่มรู้สึกสมองสดชื่น ตื่นเต้น และช่วยแก้ความอ่อนเพลียของกล้ามเนื้อ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้สูงขึ้น
2. กาแฟเป็นผลดีต่อผิวพรรณ เพราะว่ากาแฟสามารถทำให้เลือดไหลเวียนได้คล่อง ช่วยให้อวัยวะย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น ช่วยแก้ปัญหาท้องผูก และเวลาอาบน้ำ ผสมผงกาแฟลงไปด้วย จะมีบทบาทช่วยลดไขมัน
3. กาแฟช่วยแก้เมา เพราะคาเฟอินจะไปเสริมสมรรถนะของตับและไต หลังดื่มเหล้าแล้ว จะช่วยละลายแอลกอฮอร์ให้เป็นน้ำและไคบอนไดออกไซต์ ขับออกจากร่างกาย

โทษของการดื่มกาแฟ
1. ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น ผลการวิจัยปรากฎว่า ดื่มกาแฟแก้วหนึ่งแล้ว ความดันโลหิตจะสูงขึ้นนานถึง 12 ชั่วโมง ดังนั้น กลุ่มคนที่เป็นความดันโลหิตสูง ไม่ควรดื่มกาแฟขณะรู้สึกเครียด หรือมีแรงกดดันมากจากการทำงาน
2. กาแฟจะทำให้กระดูกพรุน เนื่องจากคาเฟอินมีคุณประโยชน์ทำให้ขับปัสสาวะมากขึ้น ถ้าดื่มกาแฟเป็นเวลานาน จะทำให้สูญเสีแคลเซียมยไปกับปัสสาวะมาก จนกระดูกพรุน โดยเฉพาะสำหรับผู้หญิงหลังวัยทอง ไม่ควรดื่มกาแฟมากเกินควร
3. หญิงตั้งครรภ์ถ้าดื่มกาแฟมาก จะทำให้ทารกที่อยู่ในครรภ์เติบโตไม่เป็นปกติ หรืออาจแท้งได้
4. กาแฟจะทำลายวิตามิน B1 ซึ่งเป็นวิตามินที่รักษาความสมดุลและความมั่นคงของระบบประสาท ดังนั้น ผู้ที่ขาดวิตามิน B1 ไม่ควรดื่มกาแฟ

วันอาทิตย์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ความเป็นมาของกาแฟ

ความเป็นมาของกาแฟ



ต้นกำเนิดกาแฟเริ่มต้นที่แถบเทือกเขาในแอฟริกา ชนพื้นเมืองบดกาแฟทั้งผล ผสมกับไขมันจากสัตว์  ใช้สำหรับเพิ่มพลังให้นักรบ
ซึ่งความเป็นมาของการค้นพบกาแฟ  มีตำนานหนึ่งเล่าขานกันว่า คนเลี้ยงแพะสังเกตเห็นว่าแพะของเขากระโดดโลดเต้นไปมาเมื่อได้กินผลไม้ชนิดหนึ่งคล้ายผลเชอรี่ของต้นกาแฟป่า ด้วยความอยากรู้เขาจึงชิมผลไม้นั้นด้วยตัวเอง และต้องประหลาดใจกับความสดชื่นมีชีวิตชีวาที่เขาได้รับ เหล่านักบวชที่เดินผ่านมาในบริเวณนั้นเห็นเขากระโดดโลดเต้น และเต้นรำไปมากับฝูงแกะ นักบวชเหล่านั้นจึงเริ่มนำเมล็ดพืชนั้นมาต้ม และนำมาดื่มเพื่อไม่ให้ง่วงในระหว่างพิธีกรรมยามค่ำคืน

การเพาะปลูกกาแฟเริ่มต้นในศตวรรษที่ 15 หลายศตวรรษที่ผ่านมาเยเมนซึ่งเป็นพื้นที่หนึ่งในแถบอราเบียเป็นเพียงแหล่งปลูกกาแฟเพียงแหล่งเดียวในโลก ความต้องการของตลาดมีสูงมาก เมล็ดกาแฟที่ออกจากท่าเรือเยเมนนั้นถูกตรวจสอบอย่างเข้มงวด และมีกฎห้ามมิให้ต้นไม้ใดที่สามารถผลิดอกออกผลได้ส่งออกนอกประเทศ  แต่ถึงแม้จะมีกฎเข้มงวด ชาวมุสลิมผู้ออกไปแสวงบุญที่เมกกะได้ลักลอบนำต้นกาแฟกลับไปที่ถิ่นกำเนิดของตน และนั่นก็เป็นต้นกำเนิดของการเจริญเติบโตของกาแฟในประเทศอินเดีย

กาแฟยังขยายไปสู่ยุโรป ไปยังเมืองเวนิส ซึ่งเป็นเมืองท่าในการค้าขายน้ำหอม ชา สีย้อม และผ้า โดยพ่อค้าชาวอราเบีย พ่อค้าชาวยุโรปเริ่มคุ้นเคยกับการดื่มกาแฟที่มาจากต่างเมือง และนำกลับไปที่บ้านของตน เมื่อเริ่มมีผู้จำหน่ายกาแฟตามถนนหนทางต่าง ๆ เครื่องดื่มนี้ก็ได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้น

สายพันธุ์และลักษณะของเมล็ดกาแฟ
ในโลกนี้กาแฟมีหลากพันธุ์ หลายชนิด ที่ถูกค้นพบ แต่ที่นิยมปลูกและมีขายกันโดยทั่วไปมีอยู่ 2 พันธุ์คือ อราบิก้า และ โรบัสต้า ซึ่งกาแฟสองชนิดนี้มีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน
อราบิก้า เป็นสายพันธุ์ที่นิยมปลูกและบริโภคกันมากที่สุดในโลก มีปริมาณการผลิตถึง 80 เปอร์เซ็นต์ในตลาดกาแฟโลก แต่จะมีจำนวนเพียง 1 ใน 8 เท่านั้นที่เป็นกาแฟที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐานและเป็นที่นิยม กาแฟชนิดนี้ให้ผลผลิตที่มีคุณภาพและปริมาณสารกาแฟชั้นดี มีกลิ่นและรสชาติดีที่สุด
เมล็ดพันธุ์อราบิก้านี้จะมีรูปทรงค่อนข้างเรียวผอม รอยผ่าไส้กลางมีลักษณะคล้ายตัว S เมื่อผ่านกระบวนการผลิตแล้วกาแฟพันธุ์นี้จะมีกลิ่นหอมหวานอบอวล ซับซ้อน คล้ายกลิ่นช็อกโกแลต และดอกไม้ รสชาตินุ่มละมุน มีปริมาณคาเฟอีนประมาณ 1.1 – 1.7 เปอร์เซ็นต์ หรือประมาณครึ่งหนึ่งของพันธุ์โรบัสต้าในปริมาณเท่ากัสำหรับในประเทศไทย บนเขาสูงในจังหวัดทางภาคเหนือ เช่น เชียงใหม่ เชียงราย ตาก ลำปาง จึงเป็นแหล่งที่ดีในการปลูกกาแฟพันธุ์อราบิก้า
          โรบัสต้า เป็นกาแฟพันธุ์ที่ต้องการความชุ่มชื้นสูง ปลูกง่าย ให้ปริมาณผลผลิตมาก นิยมปลูกกันมากในทวีปอาฟริกาและเอเชีย สามารถปลูกในพื้นที่ที่มีระดับความสูงตั้งแต่ 500 – 600 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล สำหรับประเทศไทยนิยมปลูกกันทางภาคใต้ เช่น ที่จังหวัด ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช
เมล็ดพันธุ์ของโรบัสต้าจะอวบอ้วน ด้านหลังมีลักษณะนูนเป็นหลังเต่า รอยผ่าไส้กลางเมล็ดจะเป็นเส้นค่อนข้างตรง กาแฟสายพันธุ์นี้ กลิ่นไม่หอมหวานอบอวล ไม่ซับซ้อน รสชาติฝาดกว่าพันธุ์อราบิก้า และมีปริมาณคาเฟอีนสูงกว่า 1 – 2 เท่าตัว หรือประมาณ 2 – 4.5 เปอร์เซ็นต์   ถึงแม้ว่าจะให้รสชาติด้อยกว่า มีรสฝาดมากกว่า แต่บอดี้ของกาแฟพันธุ์นี้จะมีมากกว่า สามารถรับรู้ได้เวลาดื่ม ส่วนใหญ่จะนำมาผลิตเป็นกาแฟสำเร็จรูป หรือนำมาผสมกับกาแฟพันธุ์อราบิก้า เพื่อให้ได้รสชาติที่แตกต่างออกไป

นอกจากนี้ ยังมีพันธุ์กาแฟที่อาจพบได้อีก 2 สายพันธุ์ คือ ลิเบอริก้า (Liberica) และเอ็กซ์เซลซ่า (Excelsa) แต่กาแฟทั้ง 2 สายพันธุ์นี้ไม่เป็นที่นิยมในการค้า เนื่องจากรสชาติไม่ค่อยดีนัก

coffee กาแฟ

coffee กาแฟ


กาแฟ เป็นคำ ที่มาจากคำว่า "เกาะหฺวะหฺ" ในภาษาอาหรับ  ซึ่งสันนิษฐานว่าเพี้ยนมาจากแคว้นคัฟฟาของเอธิโอเปีย ซึ่งมีการเพาะปลูกกาแฟ หรือไม่ก็มาจากคำว่า qahwat al-būnn ซึ่งหมายถึง "ไวน์แห่งถั่ว" ในภาษาอารบิก แล้วเพี้ยนเป็น กาห์เวห์ ในภาษาตุรกี ก่อนที่จะเป็น caffè ในภาษาอิตาเลียน และเป็น คอฟฟี (Coffee) ในภาษาอังกฤษ ซึ่งได้มีการใช้ครั้งแรกในช่วงต้นถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 16  หลังจากนั้นก็เป็นคำว่า กาแฟ ในภาษาไทย

กาแฟเป็นไม้พุ่มยืนต้น ขนาดปานกลางสูงประมาณ 3-4 เมตร ใบสีเขียวแตกออกจากข้อเป็นคู่ๆ ดอกออกตามข้อของกิ่งมีสีขาวบริสุทธิ์ กลิ่นหอมต้นกาแฟในประเทศไทยเริ่มออกดอกในเดือนตุลาคม กุมภาพันธ์  ระยะเวลาตั้งแต่การออกดอกถึงการเก็บเกี่ยวใช้เวลาประมาณ 8-12 เดือน หลังจากปลูกกาแฟได้ 2-3 ปี กาแฟจะเริ่มออกดอกและติดผล ผลของกาแฟเรียกว่า “Coffee Cherry” มีลักษณะค่อนข้างกลม ขณะที่ผลยังอ่อนมีสีเขียว และเมื่อผลแก่จัดจะมีสีแดง ในแต่ละข้อของกิ่งกาแฟติดผลประมาณ 10-60 ผล แต่ละผลมีเมล็ดกาแฟอยู่ 2 เมล็ด